พระผงรูปเหมือนหลวงพ่ออบ อินฺทวิริโย วัดถ้ำแก้ว
พระผงรูปเหมือนหลังเตารีดหลวงพ่ออบ อินทฺวิริโย วัดถ้ำแก้ว จ.เพชรบุรี๑
โดย... ชายนำ ภาววิมล ...
เพชรบุรีเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่มียอดพระเกจิอาจารย์ผู้สืบทอดตำรับและ/หรือสรรพวิชาทางพุทธาคมจากครูบาอาจารย์ในอดีตกาลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยุคกึ่งพุทธกาล (ก่อนและหลังปี ๒๕๐๐ ในราว ๒๐ ปี) ชื่อเสียงเกียรติคุณและข่าวสารเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของพระครูญาณวิลาศ (แดง รตฺโต: ชาตะ ๒๔๒๑, อุปสมบท ๒๔๔๑, มรณภาพ ๒๕๑๗ / สิริอายุ ๙๕ ปี พรรษา ๗๕) อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาบันไดอิฐ เป็นที่กล่าวขานเล่าลือกันสนั่นเมืองเพชรแบบที่ยุคหนึ่งเราพูดกันติดปากว่าดังสุด ๆ พระเครื่องและวัตถุมงคลที่จัดสร้างในรูปและนามของหลวงพ่อแดง รตฺโต ล้วนเป็นวัตถุมงคลที่นักนิยมพระเครื่องทั้งรุ่นลายครามและรุ่นกระเตาะให้การยอมรับและเล่นหากันอย่างกว้างขวาง
ก่อนหลวงพ่อแดง รตฺโต วัดเขาบันไดอิฐ มรณภาพไม่นาน ท่านบอกกับลูกศิษย์ใกล้ชิดว่า "หลวงพ่ออบ อินทฺวิริโย วัดถ้ำแก้ว เขาขลังไม่ใช่เล่น ต่อไปเขาจะแทนฉัน" กาลเวลาต่อมา คำกล่าวของหลวงพ่อแดง รตฺโต เป็นจริงตามนั้น เมื่อท่านละสังขารไปแล้ว สาธุชนจำนวนมากทั้งใกล้ไกลต่างแวะไปกราบนมัสการ เยี่ยมเยือนและขอเช่าบูชาวัตถุมงคลจากหลวงพ่ออบ อินทฺวิริโย แทบไม่ขาดสาย บางวันเช้าจรดค่ำเลยก็ว่าได้ แม้แต่เซียนใหญ่อย่างจ่าเปี๊ยก(ปรีชา เอี่ยมธรรม) บรรณาธิการบริหารนิตยสารอาณาจักรพระเครื่อง นิตยสารพระเครื่องในตำนานที่นักนิยมพระเครื่องรุ่นอาวุโสให้การยอมรับและยอกย่องว่าเป็นหนังสืออมตะที่ทรงคุณค่ายิ่งตราบถึงทุกวันนี้, นต.เผ่าพันธุ์ เชี่ยวเวช, เฮียย้ง (ชัยยงค์ ตามเสรี) นักนิยมพระเครื่องระดับตัวพ่อที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสองรังพระเครื่องขนาดใหญ่ที่สุดในยุคนั้น, และจ่ามานิตย์ ปัทพี ยังมาฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่ออบ อินทฺวิริโย ทั้งมีบทบาทสำคัญในการสร้างพระกริ่ง พระเครื่อง และเหรียญรูปเหมือนถวายท่านอีกด้วย พระเกจิอาจารย์รูปใดที่เซียนใหญ่กลุ่มนี้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะกลุ่มนี้ไม่ได้มีแค่ความนิยมชมชอบในพระเครื่องและวัตถุมงคลเท่านั้น แต่ยังมีความรอบรู้ในเรื่องพุทธาคมพอตัวเลยทีเดียว
หลวงพ่ออบ อินทฺวิริโย เป็นพระเกจิอาจารย์ประเภทร้อนวิชา ทำอะไรก็ขึ้นและขลังไปหมดทุกอย่างโดยเฉพาะเรื่องคงกระพันชาตรี เชื่อกันว่าน้ำพระพุทธมนต์ของท่านสามารถโรคภัยไข้เจ็บได้สารพัด ขจัดปัดเป่าทุกข์ยาก กันเสนียดจัญไร ตามแต่จะอธิษฐานกัน จะเรียกว่าครอบจักรวาลเลยก็ว่าได้ เคยได้ยินจากคนแถววัดถ้ำแก้วเล่าให้ฟังว่า ในราวปี ๒๕๑๖ ขณะที่หลวงพ่ออบ อินทฺวิริโย กำลังแจกผ้ายันต์ มีคนเข้าไปถามท่านว่าดีอย่างไร ท่านไม่ตอบแต่กลับยื่นมีดให้คนละเล่ม แล้วบอกว่า ลองฟันดู ถ้าเข้า ไม่ต้องมานับถือกัน นี่แหละ..สไตล์พระเกจิอาจารย์แบบโบราณ โดยเฉพาะยอดพระเกจิอาจารย์สายเพชรบุรี
ย้อนกลับมายังเรื่องการสร้างพระเครื่องและวัตถุมงคล หลวงพ่ออบ อินทฺวิริโย สร้างพระเครื่องเพียงไม่กี่รุ่น แต่ละรุ่นที่จัดสร้างล้วนกระทำไปด้วยความพิถีพิถัน มิใช่สุกเอาเผากินหรือทำแบบขอไปที ทำเพียงเพื่อหาปัจจัยเข้าวัดเหมือนอย่างที่ทำกันในสมัยนี้ แต่หลวงพ่ออบ อินทฺวิริโย ต้องการให้ผู้ที่นำพระเครื่องของท่านไปสักการะบูชาได้รับของดีที่มีพลานุภาพ สามารถคุ้มครองป้องกันภยันตรายให้กับลูกศิษย์ลูกหาของท่านได้อย่างแท้จริง ดังนั้น วัตถุมงคลของท่านทุกรุ่นล้วนมีทั้งดีนอกและดีใน คือ ดีทั้งเนื้อหามวลสารและพิธีกรรมในการจัดสร้างที่ครบถ้วนกระบวนความตามแบบอย่างซึ่งมีมาแต่ครั้งโบราณกาล ที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดคือเป็นพระเครื่องที่จัดสร้างขึ้นด้วยจิตอันบริสุทธิ์และความศรัทธาเชื่อมั่นในสิ่งที่กระทำ
ปาฏิหาริย์เกี่ยวกับพระเครื่องและวัตถุมงคลของหลวงพ่ออบ อินทฺวิริโย ยังคงเป็นเรื่องที่เล่าขานสืบต่อกันในหมู่ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายทั้งปวงมาถึงทุกวันนี้ แม้ว่าหลวงพ่ออบ อินทฺวิริโย มรณภาพไปนานกว่า ๓๐ ปีแล้ว แต่เรื่องราวเกี่ยวกับการมรณภาพของท่านเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติและสร้างน่าอัศจรรย์ใจไม่น้อยเช่นกัน ในวันมรณภาพของท่าน ศิษย์วัดเข้ามาบอกกับท่านว่ารถบรรทุกซุงที่สั่งให้ขนซุงมาสร้างโบสถ์ โซ่ใกล้ขาด ให้ทำอย่างไรดี หลวงพ่ออบ อินทฺวิริโย เดินไปดูรอบ ๆ รถบรรทุกซุง แล้วไปนั่งยอง ๆ มองดูโซ่ที่ใกล้ขาดเต็มที ทันใดนั้น โซ่ขาดสะบั้น ท่อนซุงทั้งหมดหล่นลงมาทับร่างของท่านจมมิดลงไปในพื้นดิน กระดูกภายในแหลกละเอียดแต่ร่างกายภายนอกยังดูดี ผิดจากผู้ประสบเหตุร้ายซึ่งถูกของที่มีน้ำหนักมาก ๆ หล่นทับ นี่กระมังที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้พระเครื่องและวัตถุมงคลของท่านเงียบหายไประยะหนึ่ง และกลับมาใหม่ในยุคสมัยที่การเล่นหาสะสมพระเครื่องเปลี่ยนจากกระแสพระหลักพระยอดนิยมมาเป็นการเล่นหาสะสมพระเครื่องตามพื้นที่หรือตามสายพระเกจิอาจารย์แต่ละรูป
คงต้องยอมรับกันตามความเป็นจริงว่าไม่มีสิ่งใดเหนือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติได้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและอาการไม่ปกติ ล้วนเป็นสัจธรรมและอมตกรรมที่อยู่คู่กับมนุษย์มานาน แม้มีพลังจิตเข้มขลังปานใดก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงอมตกรรมนี้ไปได้ แม้แต่พระอัครสาวกอย่างพระโมคัลลานะที่ได้ชื่อว่าเป็นเลิศทางอิทธิฤทธิ์ ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงละอองกรรมได้เช่นกัน พระอริยสงฆ์หลายรูปในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ที่คนวัย ๕๐ ปีมีโอกาสได้สัมผัสและพบเห็น อาทิ หลวงพ่อแดง ติสฺโส (ชาตะ ๒๔๓๔, อุปสมบท ๒๔๕๕, มรณภาพ ๒๕๑๙/สิริอายุ ๘๕ ปี พรรษา ๕๙) วัดแหลมสอ, พระศรีสัจจญาณเถร (ประหยัด ปัญญาธโร: ๒๔๖๔, ๒๔๘๖, ๒๕๒๐) วัดสุทัศนเทพวราราม, พระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (วัน อุตฺตโม: ๒๔๖๕, ๒๔๘๕, ๒๕๒๓) วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม ต่างเป็นพระอริยสงฆ์ที่ละสังขารด้วยอาการไม่ปกติ ไม่เรือล่มก็เครื่องบินตก การละสังขารของพระอริยสงฆ์เหล่านี้ อาจขัดกับความรู้สึกและความเชื่อของพุทธศาสนิกชนทั่วไปว่าพระสุปฏิปันโน พระเกจิอาจารย์ พึงละสังขารหรือมรณภาพไปด้วยอาการอันสงบ จริงหรือไม่ประการใดไม่มีใครพิสูจน์ได้ ทุกชีวิตที่บังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ล้วนมีกรรมเป็นของตนเอง อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตประการหนึ่งคือพระอริยสงฆ์และพระเกจิอาจารย์ที่กล่าวมานานนี้ ล้วนทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าถึงกาลเวลาและอาการที่ท่านต้องละสังขาร แต่ท่านไม่ฝืน ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามกลไกของกรรม ที่ทำได้ก็เพียงการกันมิให้ศิษย์ที่ไม่ถึงกาลเวลาที่ต้องลาจากเข้ามาร่วมอยู่ในเหตุการณ์นั้น
การฝืนกฎแห่งกรรมหรือที่โหราจารย์บางท่านใช้คำว่า โกงชะตา เป็นสิ่งที่พระเกจิอาจารย์ผู้ได้ฌานชั้นสูงขึ้นไปสามารถทำได้ แต่มิใช่กระทำเพราะความปรารถนาที่จะใช้ชีวิตในภพภูมินี้ต่อไปโดยไม่มีจุดมุ่งหมายอันเป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาหรือสาธารณกุศลที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับคนเป็นจำนวนมาก มิใช่เพียงแค่ นี้ ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยพอสมควร มิใช่นึกคิดเอาเองโดยลำพังว่าอยากอยู่ต่อ ตั้งจิตอธิษฐานแล้วก็ได้มีชีวิตยืนยาวต่อไป พูดง่ายๆ ให้งงเล่นคือ มีเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอและต้องปฏิบัติตามจารีตที่พระอริยสงฆ์ในอดีตปฏิบัติสืบต่อกันมา แต่อย่างน้อยที่สุดพระอริยสงฆ์ พระสุปฏิปันโน พระเกจิอาจารย์ผู้ปฏิบัติธรรมมาระดับหนึ่ง ย่อมมีบุญบารมีและพลังจิตสูงเกินพอที่จะสงเคราะห์และช่วยเหลือสาธุชนทั่วไปได้ วิบากกรรมที่พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเหล่านั้นต้องเผชิญโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เปรียบเสมือนการชำระหนี้ เมื่อชดใช้หนี้กรรมหมดสิ้นแล้ว จึงเข้าสู่พระนิพพานหรือไปพักรอบนมหาดุสิตสถาน จากนั้นค่อยลงมาบำเพ็ญเพียรต่อไปอีกเพียงเล็กน้อย ก็สามารถบรรลุธรรมขั้นอรหันตผล วิบากกรรมที่พระอริยสงฆ์/พระสุปฏิปันโนรูปอื่น หลวงพ่ออบ อินฺทวิริโย ประสบพบเหตุจึงเป็นคนละประเด็นกับความเข้มขลังทางจิต พลานุภาพในพระเครื่องและวัตถุมงคลที่พระภิกษุเหล่านั้นได้อธิษฐานจิตแผ่เมตตาไว้ให้ชนรุ่นหลังได้พึ่งพาอาศัย
การหยิบยกเรื่องนี้มาอรรถาธิบายและเล่าสู่กันฟัง เพราะหลายคนมีข้อสงสัยและตั้งคำถามว่าหลวงพ่ออบ อินฺทวิริโย กำลังเริ่มจะดัง เปรียบเหมือนเครื่องบินที่ไต่ความสูงขึ้นไปจนเกือบถึงเพดานบิน แต่อยู่ดี ๆ ทำไมเงียบหายไปเฉย ๆ นักนิยมพระเครื่องรุ่นอาวุโสคงทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี ส่วนนักนิยมพระเครื่องในชั้นหลังจะทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดหรือไม่ คงไม่มีใครตอบได้อย่างชัดเจนและถูกต้อง แต่อย่างน้อยที่สุด การนำเรื่องนี้มานำเสนอ น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สมาชิกและผู้อ่านนิตยสารพระเครื่องพระเกจิไม่เกิดข้อสงสัย คลางแคลงใจว่าพระเครื่องรุ่นต่าง ๆ ของหลวงพ่ออบ อินฺทวิริโย ที่ตนมีอยู่หรือเคยได้ยินได้ปังมานั้น ดีจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ผู้เรียบเรียงยังเชื่อมั่นว่าหลวงพ่ออบ อินฺทวิริโย ไม่เป็นสองรองใครในเมืองเพชรยุคหลังกึ่งพุทธกาล โดย เฉพาะเจตนาและความมุ่งมั่นในการดำเนินงานจัดสร้าง เกินร้อย...ครับ
พระผงรูปเหมือนพิมพ์หลังเตารีดหลวงพ่ออบ อินทฺวิริโย วัดถ้ำแก้ว เป็นพระผงรูปเหมือนเนื้อว่านที่สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างพร้อมกับพระปิดตารุ่นแรกและรุ่นเดียวของหลวงพ่ออบ อินทฺวิริโย พระครูสีลวัชรสาร (สิน) เจ้าอาวาสวัดถ้ำแก้วองค์ถัดมาเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่ออบ อินทฺวิริโย นำดินสอพองมาปั้นเป็นแท่งแล้วนำไปเขียนอักขระเลขยันต์บนกระดาษชนวนตามตำราที่ท่านเล่าเรียนมา เขียนเสร็จแต่ละครั้งลบและเก็บรวบรวมผงนั้นไว้ ได้จำนวนพอสมควรก็นำมาปั้นเป็นแท่งแล้วนำไปเขียนใหม่ ทำแล้วทำอีกเป็นเวลานานหลายปี ส่วนว่าน ๑๐๘ นั้น นัยที่แท้จริงนั้นมิได้มีความหมายแค่ว่าน ๑๐๘ ชนิดเท่านั้น แต่หมายถึงจำนวนมากมายซึ่งอาจมีมากกว่า ๑๐๘ รายการก็ได้ ผงว่านที่นำมาใช้ในการสร้างพระปิดตาและพระผงรูปเหมือนฯ รุ่นนี้ ส่วนหนึ่งขอมาจากลูกศิษย์ลูกหา อีกส่วนหนึ่งเป็นว่านที่หลวงพ่ออบ อินทฺวิริโย ปลูกเอง การปลูกว่านของท่านไม่ใช่การปลูกแบบคนรักว่านทั่วไป ในการรดน้ำทุกครั้ง หลวงพ่ออบ อินทวิริโย ต้องภาวนาพระคาถาต่าง ๆ ไม่เคยขาด พระเกจิผู้ยึดมั่นในตำรับตำราที่ร่ำเรียนมาและปฏิบัติตามเคร่งครัดเฉกเช่นหลวงพ่ออบ อินทฺวิริโย ไม่เคยทำอะไรลวกๆ ทำทั้งทีต้องดี ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ ดังนั้น พระเครื่องและวัตถุมงคลทุกอย่างของท่านจึงมีพลานุภาพเข้มขลังเสมอ
ลักษณะ เป็นพระผงรูปเหมือนพระเกจิอาจารย์ตระกูลเนื้อว่านในกรอบพิมพ์แบบหลังเตารีด ลักษณะศิลปะเป็นแบบนูนสูง ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่ออบ อินทฺวิริโย นั่งแบบสมาธิราบบนตั่งฐานสิงห์ ที่ตั่งจารึกนาม "หลวงพ่ออบ" ด้านหลัง พื้นเรียบ ยกขอบขึ้นสูงประทับด้วยอักขระขอม ๓ แถวรวม ๔ ตัว แถวบนสุดเป็นตัว "อุ" แถวกลาง ๒ ตัว "มะ" กับ "อะ" แถวล่างสุดเป็นตัว "อิ"
ขนาด ฐานกว้าง ๒.๑ ซ.ม. สูง ๓.๓ ซ.ม. หนา ๐.๕ ซ.ม.
วรรณะสีผิว ออกเทาดำอมเขียว มีมวลสารสีขาวปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน พระที่ไม่เคยผ่านการใช้มาก่อนและเก็บรักษาอย่างดี มักมีคราบแป้งปรากฏให้เห็นมากน้อยแตกต่างกันไปตามสภาพของพระแต่ละองค์
เนื้อหามวลสาร เนื้อผงว่านผสมผงพุทธคุณและเส้นเกศาของหลวงพ่ออบ อินทฺวิริโย
ปีที่สร้าง ปี ๒๕๑๗
จำนวนการสร้าง ไม่ทราบจำนวนการสร้างที่แน่ชัด
พลานุภาพ เชื่อกันว่าโดดเด่นทางด้านแคล้วคลาดนิรันตราย คงกระพันชาตรี ตามแบบฉบับของพระหลวงพ่ออบ อินทฺวิริโย
ค่านิยม เป็นพระผงรูปเหมือนเนื้อว่านที่นิยมเล่นหากันในหมู่ลูกศิษย์ สนนราคาเช่าหาอยู่ที่หลักร้อย
พระผงรูปเหมือนหลวงพ่ออบ อินฺทวิริโย วัดถ้ำแก้ว รุ่นแรกพิมพ์หลังเตารีด เป็นอีกหนึ่งในพระเนื้อผงว่านนี้ที่ควรค่าแก่การสะสมเชิงอนุรักษ์เป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุที่ว่ามีประวัติความเป็นมา พื้นที่รับรู้และเล่นหากันมานานแล้ว
๑ บทความเก่าจากนิตยสารพระเครื่องพระเกจิ ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๓๑๗ (มกราคม ๒๕๖๒) หน้า ๖๖ - ๖๗